สุขภาพของชายวัยสูง และการรักษาด้วยฮอร์โมน


เพศชายในวัยสูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะพบว่าฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ผลิตจากลูกอัณฑะ เริ่มปริมาณลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะลูกอัณฑะเริ่มเสื่อมหน้าที่ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศชาย การเสื่อมหน้าที่จะค่อยเป็นค่อยไปตามอายุที่มากขึ้น นอกจากลูกอัณฑะจะสร้างฮอร์โมนเพศชายแล้วยังมีต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมนเพศ ชายที่เรียกว่า ดีไฮโดรอิพิแอนโตรสเตอโรน (Dehydroepiandrosterone) เรียกย่อ ๆ ว่า ดีเอช อี เอ (DHEA) ซึ่งจะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้นเช่นกัน

การที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงช้า ๆ อาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่องส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้:

1) อาการทางระบบประสาทและจิตใจ: มีอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย ขาดความคิดริเริ่ม ขาดความเชื่อมั่นตนเอง นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกมาก อาการหงุดหงิด โมโหง่าย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งปัญหาครอบครัว หน้าที่การงาน

2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด พบได้บ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะในชายที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ เป็นเบาหวานอยู่แล้ว อ้วน ขาดการออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง

3) ภาวะโรคกระดูกพรุน: จะรู้สึกว่าตนเองเตี้ยลง กระดูกหักบ่อย

4) ความผิดปกติทางการได้ยิน-สายตา: เช่น ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หูได้ยินไม่ดี

5) ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ: ปัสสาวะบ่อย ๆ ลำปัสสาวะเล็กลง ปัสสาวะเล็ดลาด ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น อาจมาจากสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก

6) หย่อนสมรรถภาพทางเพศ: พบว่าเกิดจากสาเหตุด้านร่างกายหรือด้านจิตใจ หรือทั้งร่างกายและจิตใจร่วมกัน รู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการสอบถามอาการต่าง ๆ ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดและการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่ละบุคคล

การรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน มีทั้งในรูปการรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง หรือฉีดยาเดือนละเข็ม หรือใช้ชนิดแปะผิวหนัง หรือทาผิวหนังก็ได้ การใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วนี้ ทำให้ชายสูงวัยหลายท่านร้องขอการรักษาโดยใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน ซึ่งมียาทั้งในรูปแบบยารับประทาน และยาฉีด รวมทั้งชนิดแปะที่ผิวหนัง ถึงแม้จะมีราคาแพงก็ตามแต่ดูว่ามีชายสูงอายุร้องขอให้แพทย์ทำการรักษาอยู่ บ่อยครั้ง

แพทย์ผู้ดูแลในเรื่องนี้จึงใคร่ขอเตือนว่า มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ นั้นอยู่ และข้อห้ามที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในชายสูงวัยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นมะเร็งต่อมลูกหมากให้ลุกลามไปได้เร็ว ขึ้น อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่าเข้าใจผิด ส่วนในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากจากต่อมลูกหมากที่โตมาก ๆ ถือเป็นข้อควรระวังเท่านั้น เพราะในบางรายอาจจะกระตุ้นให้คนไข้ปัสสาวะไม่ออกได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมแพทย์ที่ดูแลท่านทำการตรวจทางทวารหนักและในบางรายอาจจะตรวจเช็คระดับพี เอสเอ (Prostate Specific Antigen) ของท่านด้วยก่อนเริ่มให้การรักษา ระหว่างการรักษาแพทย์ก็จะทำการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย ความเข้มข้นของเลือด รวมทั้งพีเอสเอ เป็นระยะ ๆ เพื่อความปลอดภัย

ดัง นั้นท่านชายสูงวัยที่มีอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ควรจะได้รับการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย รวมทั้งเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถทำการตรวจเช็คได้ในโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไป ทั้งจากศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและแพทย์ทั่วไปได้ ขอให้ชายสูงวัยทุกท่านมีสุขภาพที่ดี ทำประโยชน์กับสังคมของเราได้นานเท่านาน

ที่ มา: บทความ น.พ. สุรพงศ์ อำพันวงษ์ โรงพยาบาลพญาไท

หนังสือแสดงเจตนาตาย! ความปรารถนาสุดท้ายของชีวิต…มีสิทธิหรือไม่?

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามา หากผู้ป่วยต้องการปฏิเสธการรักษา โดยแพทย์ยอมรับคำร้องขอและยุติการรักษา แพทย์ท่านนั้นผิดหรือไม่ และผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาของตนได้อย่างนั้นหรือ?

นพ.ชาตรี เจริญศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาไว้ อย่างน่าสนใจว่า กฎหมายประเทศไทยไม่ได้ห้ามการเสียชีวิตเหมือนกฎหมายประเทศอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าการตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปด้วยเรื่อง สุขภาพ และเป็นการบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น หนังสือบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ถือว่าเป็นการปฏิเสธการรักษาซึ่งแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าในขณะที่ผู้ป่วยยังมี สติดีอยู่

สิทธิขอหยุดความ ทรมานจากเทคโนโลยี...เพื่อการตายดี

ตามพระราชบัญญัติสุขภาพ แห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตราที่ 12 ระบุว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไป เพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ โดยกระบวนการยืดการตายที่ว่านี้ อาจเป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือเครื่องมือบางอย่างเพียงเพื่อยืดการตายออกไปทั้งๆ ที่ผู้ป่วยได้ก้าวเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะที่แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและพิจารณาว่าการรักษานั้นๆ เป็นการรักษาเพียงเพื่อการยืดชีวิตหรือไม่

เดิมทีก่อนที่จะมีการออก พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติที่รับรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ป่วยก็มีสิทธิตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยไม่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาล และได้แจ้งความประสงค์กับญาติว่า ถ้าตนไม่มีสติแล้วไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ขอเสียชีวิตโดยได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลานที่บ้าน หลังจากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้มาพบแพทย์ ซึ่งกฎหมายก็ไม่ได้เอาผิดผู้ป่วยหรือญาติ กรณีนี้เรียกว่าเป็นสิทธิตามธรรมชาติของบุคคล แต่ถ้าจะทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาชัดเจน กรุณาใช้สิทธินี้ตามมาตราที่ 12 และถ้าทำเป็นหนังสือแล้วแพทย์ปฏิบัติตาม จะมาฟ้องแพทย์ก็ไม่ได้


หากแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาแล้วต่อมามี แนวโน้มว่าอาจรักษาได้ จะมีปัญหาหรือไม่


อาจมีกรณีที่ผู้ป่วย ได้ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในอดีตตอนยังมีสติดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเทคโนโลยีพัฒนาจนสามารถรักษาได้ การปฏิเสธการรักษาจึงต้องมีเงื่อนไขอื่นประกอบการพิจารณาด้วยว่า ในสถานการณ์นั้นเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตจริง หรือไม่ และก่อนจะกระทำการใดๆ แพทย์และพยาบาลควรที่จะปรึกษาผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งการปรึกษานี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมาย แต่เป็นมาตรฐานวิชาชีพ และเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ด้วย ซึ่งการปฏิเสธการรักษาควรต้องพิจารณา 3 ปัจจัยหลักๆ ประกอบกันคือ

1. ต้องเคารพเจตนาของผู้ป่วย
2. แพทย์ใช้ดุลยพินิจตามมาตรฐานวิชาชีพ
3. ปรึกษาญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยในหนังสือแสดงเจตนาจะต้องระบุชื่อบุคคลดังกล่าวไว้ด้วย

เชื่อว่า ด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ดีมากของเมืองไทย ขอให้บอกกล่าวแพทย์ก็รับฟังความต้องการของผู้ป่วย แต่ในทางกลับกันหากเขียนหนังสือแสดงเจตนาไว้ แต่ไม่ได้แสดงหนังสือให้ใครทราบ หนังสือฉบับนั้นจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะถือว่าไม่ได้แสดงเจตนา

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับ คนไทย เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงตามวัฒนธรรมไทย หากไปอิงกฎหมายต่างประเทศจะยุ่งยากมาก เพราะกฎหมายต่างประเทศ ความตายเป็นสิ่งที่กฎหมายต้องอนุญาตให้ตาย แต่กฎหมายไทยความตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางสุขภาพ และเราก็เชื่อว่าการตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งมีปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิของผู้ป่วยโดยแพทย์สมาคมโลกได้ให้การรับรอง ไว้ในระดับนานาชาติแล้วว่า สิทธิเกี่ยวกับร่างกายตัวเองสามารถตัดสินใจได้

ปัจจุบันหากผู้ป่วยไม่ได้ระบุเจตนาไว้ล่วงหน้า ต่อมาญาติได้แจ้งขอปฎิเสธการรักษา และขอนำตัวผู้ป่วยกลับบ้าน อาจด้วยเหตุผลด้านการรักษาหรือค่าใช้จ่าย ญาติก็มีสิทธิทำได้อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน แพทย์เห็นว่าคนไข้ยังอยู่ในอาการที่ไม่สามารให้กลับบ้านได้ แพทย์ก็มีสิทธิที่ปฏิเสธคำขอได้เช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันระหว่างมาตรฐานวิชาชีพกับความ ต้องการของญาติ แต่กรณีเช่นนี้จะกระจ่างชัดมากขึ้นถ้าทำหนังสือไว้ล่วงหน้า ว่าแค่ไหนที่จะไม่ทำการรักษาต่อไป

ทำอย่างไร หากญาติทำใจไม่ได้ แต่ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้แล้ว

กรณีนี้สิ่งที่ต้องย้อนกลับไปคำนึงถึงคือ เจตนาของผู้ป่วยเป็นสำคัญ สำหรับผู้ที่มีความหมายต่อตัวผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิตกรุณาอย่าได้ รู้สึกผิดกับการดำเนินไปตามเจตนานั้น เพราะนี่คือสิทธิของการบอกเจตนาปฏิเสธการรักษาที่แท้จริง

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

แนะนำวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด

การแปรงฟัน
1. ควรใช้แก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
2. ถ้าเปิดก๊อกน้ำ ทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน จำทำให้เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ไป 9 ลิตร ต่อ 1 นาที หรือ 45 ลิตรตลอดการแปรงฟัน

การโกนหนวด
1. เมื่อโกนหนวดแล้ว ควรใช้กระดษชำระเช็ดออกก่อน เพื่อให้ล้างออกง่ ายขึ้น
2. จากนั้นควรใช้แก้วหรือขันและจุ่มล้างใบมีดในแก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร<>ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวด 2 นาที จะเสียน้ำประมาณ 18 ลิตร

การอาบน้ำ
1. การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด
2. รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำ
3. อาบน้ำด้วยฝักบัวแต่ละครั้ง ใช้น้ำประมาณ 20-30 ลิตร
4. ถ้าเปิดก็อกน้ำทิ้งไว้ขณะถูสบู่ 10 นาทีจะเสียน้ำประมาณ 90 ลิตร
5. ถ้าอาบน้ำในอ่าง จะใช้น้ำประมาณ 110 ลิตร

การใช้ห้องสุขา
1. โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า
2. ถ้าใช้โถแบบชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะแยกต่างหากไว้ด้วย

การซักผ้า
1. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนจะทำการซัก จะทำให้สิ่งสกปรกออกง่ายขึ้น
2. การซักล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร
3. ถ้าเปิดน้ำให้ไหลล้นตลอดเวลา จะเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที หรือ 180 ลิตร หากใช้เวลาซัก 20 นาที
4. ถ้าซักด้วยเครื่องครั้งหนึ่ง จะใช้น้ำประมาณ 150-250 ลิตร
5. น้ำสุดท้ายของการซักสามารถนำไปเช็ดถูบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้ใหญ่ได้

การล้างจาน
1. ควรใช้กระดาษชำระเช็ดคราบสกปรกออกก่อน จะช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
2. ควรล้างจานพร้อมกันในอ่างหรือภาชนะ เพื่อประหยัดเวลา และให้ความสะอาดมากกว่า
3. การล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำตลอดเวลา 15 นาที จะเสียน้ำ ประมาณ 135 ลิตร

การล้างอาหาร ผัก ผลไม้
1. ควรล้างโดยใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็นจะประหยัดว่า
2. หากล้างจากก๊อกโดยตรง ก็ควรมีภาชนะที่เคลื่อนย้ายรองรับน้ำไว้รดน้ำต้นไม้ได

การถูพื้น
1. ควรใช้ภาชนะรองน้ำ เพื่อใช้กับอุปกรณ์หรือผ้าที่จะนำไปเช็ดถู
2. การใช้น้ำฉีดล้างโดยตรง จะสิ้นเปลืองน้ำเป็นจำนวนมาก

การรดน้ำต้นไม้
1. ควรใช้กระป๋องหรือฝักบัว เพราะต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องการน้ำพอดี ๆ เท่านั้น
2. ไม่ควรใช้สายยางโดยตรง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำเกินความจำเป็น
3. ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้า หรือเย็น
การล้างรถ
1. ควรใช้ไม้ขนไก่ลูบปัดฝุ่นออกก่อน
2. ควรล้างโดยนำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง
3. ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรง เพราะจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 180 ลิตร และยังทำให้รถผุเร็วด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ควรรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้าให้น้อยลง หรือเปลี่ยนรูปแบบของสนามใหม่ ให้เป็นแบบไม่ใช้น้ำ เช่น ใช้ไม้และหินแต่งสนามแทนการปลูกหญ้า
1. ขุดบ่อน้ำ หากบ้านใดมีพื้นที่กว้าง ให้ขุดบ่อใกล้บริเวณที่คิดว่าจะ มีน้ำซึมจากดินขึ้นมาไว้ใช้รดต้นไม้
1. จัดเตรียมหาภาชนะไว้เก็บกักตุนน้ำ สำรองไว้ใช้ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันกรณีเกิดวิกฤตน้ำไม่ไหล
1. นำน้ำที่ใช้แล้ว เช่น น้ำสุดท้ายในการซักผ้า กลับมาใช้ในการถูบ้าน ล้างห้องน้ำ
1. สำรวจท่อรั่วภายในบ้าน ตรวจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ดี ไม่มีการรั่วไหล ป้องกันการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน ์
1. หมั่นตรวจสอบชักโครก ในบ้านของท่าน เนื่องจากเป็นสุขภัณฑ์ที่มีสถิติน้ำรั่วไหลมาก

ปริมาณ น้ำที่สิ้นเปลืองเพราะรั่วไหล (1 ถัง = 200 ลิตร)

* หยด อย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ สูญเสียประมาณ 7 ถังต่อเดือน
* หยดเร็ว ๆ สูญเสียประมาณ 11 ถังต่อเดือน
* หยดเป็นสาย สูญเสียประมาณ 38-51 ถังต่อเดือน
* หยด เป็นสายมากขึ้น สูญเสียประมาณ 87 ถังต่อเดือน

การตรวจสอบท่อรั่วภายใน
1. ปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน
2. ดูตัวเลขในมาตรวัดน้ำ
3. ฟังเสียงและสังเกตดูการเคลื่อนไหวของตัวเลข
4. ถ้าหากไม่มีท่อแตกรั่ว มาตรก็จะไม่มีเสี ยงเครื่องจะไม่เดินและตัวเลขก็จะอยู่คงที่ไม่เคลื่อนไหว

การ ตรวจสอบท่อรั่วภายนอก
1. พื้นดินในบริเวณที่มีท่อแตกรั่วจะทรุดต่ำกว่าที่อื่นและพื้นดินจะเปียกแฉะ ตลอดเวลา
2. น้ำจะไหลอ่อนลงกว่าปกติ

ถ้าหาก พบจุดแตกรั่ว
ให้ปิดประตูน้ำที่หน้ามาตรแล้วจัดซ่อมจุดแตกรั่วนั้นโดยด่วนเพราะจุดรั่ว ขนาด 0.8 ม.ม. ทำให้สูญเสียน้ำ 900 ลิตรต่อ 1 วัน จุดรั่วขนาด 3.2 ม.ม. อาจทำให้สูญเสียน้ำได้วันละมากกว่า 10,000 ลิตร

เข้าฤดูร้อนแล้วลองมาคิดค่าไฟฟ้าด้วยตนเอง

จากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบัน ส่งผลทำให้หลายบ้านต้องสำรวจและควบคุมค่าใช้จ่าย ในการครองชีพของตัวเองไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ตลอดจนค่าใช้จ่าย ในด้านสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าน้ำมันรถ เพื่อให้เพียงพอกับเงินรายได้ที่ตนได้รับ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าไฟฟ้านั้น เรามีวิธีตรวจสอบค่าใช้จ่ายว่า เราใช้ไฟฟ้าไปกี่หน่วย จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนเงินเท่าไร อีกทั้งยังสามารถหาแนวทางการประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

ก่อนที่เราจะทราบอัตราค่าไฟฟ้านั้น เราควรจะทราบว่า เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ใช้ไฟฟ้าหรือกินไฟเท่าไหร่เสียก่อน โดยสังเกตคู่มือการใช้งาน หรือแถบป้ายที่ติดอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้า มีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt) ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีจำนวนวัตต์มาก ก็กินไฟมากตามไปด้วย ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณดูจากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ในบ้านท่านว่ามีเครื่องใช้ไฟฟ้ากี่ชนิดแต่ละชนิดกินไฟกี่วัตต์ และเปิดใช้งานประมาณเดือนละกี่ชั่วโมง หลังจากนั้น ท่านก็นำมาคิดคำนวณ ท่านจะทราบว่าในแแต่ละเดือนท่านใช้ไฟฟ้าไปประมาณกี่หน่วยเพื่อเป็นแนวทางใน การประหยัดค่าไฟฟ้าได้
สำหรับการใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิตคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1,000 วัตต์ที่ใช้งานใน 1 ชั่วโมง หรือใช้สูตรการคำนวณดังนี้

กำลังไฟฟ้า (วัตต์)ชนิดนั้นๆ x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า / 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานใน 1 วัน = จำนวนหน่วยหรือยูนิต

ตัวอย่าง บ้านอยู่อาศัยทั่วไป สมมุติว่าบ้านของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 6 อย่างดังต่อไปนี้ สังเกตจำนวนวัตต์เพื่อมาคำนวณ การใช้ได้จากป้ายที่ติดหรือคู่มือของเครื่องใช้ไฟฟ้า

1. มีหลอดไฟฟ้าขนาด 40 วัตต์ (รวมบัลลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 50 วัตต์) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้ประมาณวันละ 6 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 50x10 / 1,000x6 = 3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x3)=90 หน่วย

2. หม้อหุงข้าว ขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบ เปิดใช้ประมาณวันละ 30 นาที จะใช้ไฟฟ้าวันละ 600x1/1000x0.5=0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.3)=9 หน่วย

3. ตู้เย็น ขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 ตู้ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงาน 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 125x1/1000x8= 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x1)= 30 หน่วย

4. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 2,000 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 2,000x1/1000x8= 16 หน่วย หรือประมาณดือนละ (30x16)= 480 หน่วย

5. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 1,300 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 8 ชั่วโมง สมมุติคอมเรสเซอร์ทำงานวันละ 5 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 1,300x1/ 1,000x5= 6.5 หน่วย หรือประมาณวันละ (30x6.5) = 195 หน่วย

6. เตารีดไฟฟ้า ขนาด 800 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 800x1/1000x1 = 0.8 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.8)= 24 หน่วย

7. ทีวีสีขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 3 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 100x1 / x3 = 0.3 หรือประมาณเดือนละ (30x0.3) = 9 หน่วย

8. เครื่องทำน้ำอุ่น ขนาด 4,500 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 1 ชั่วโมงจะใช้ไฟฟ้าวันละ 4,500x1 / 1000x1=4.5 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x4.5) = 135 หน่วย

9. เตาไมโครเวฟ ขนาด 1,200 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 30 นาที จะใช้งานวันละ 1,200x1 / 1000x0.5 = 0.6 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.6) = 18 หน่วย

ดังนั้นในแต่ละเดือนบ้านของท่านใช้ไฟฟ้าไปทั้งหมดประมาณ 990 หน่วย จากนั้นท่านก็สามารถคำนวณค่าไฟฟ้าของท่านได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าดังนี้


อัตราค่าไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ซึ่งมีผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
1.1 ประเภทมีการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือนมีอัตรา ดังต่อไปนี้ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ค่าไฟฟ้าต่ำสุด คือ ไม่มีการใช้ไฟฟ้า 4.67 บาท
5 หน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) แรก (หน่วยที่ 1-5) เป็นเงิน 4.96 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 6-15) หน่วยละ 0.7124 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 16-25) หน่วยละ 0.8993 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35) หน่วยละ 1.1516 บาท
65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 1.5348 บาท
50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 1.6282 บาท
250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.1329 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.4226 บาท

1.2 ประเภทปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือนมีอัตราดังต่อไปนี้(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ค่าไฟฟ้าต่ำสุด คือ ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เดือนละ 83.18 บาท
35 หน่วย(กิโลวัตต์ชั่วโมง) (หน่วยที่ 1-35) เป็นเงิน 85.21 บาท
115 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-150) หน่วยละ 1.1236 บาท
250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.1329 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่401เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.4226 บาท


ปัจจุบัน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ยังไม่มีการปรับโครงสร้างค่ากระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าที่ใช้ในปัจจุบันได้เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามการคิดค่าไฟฟ้านั้น มีปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะต้องมาคำนวณด้วย นั้นก็คือค่าการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือที่เราเรียกว่าค่า Ft (Energy Adjustment charge) หลายท่านคงสงสัยว่าค่า Ft คืออะไร ความหมายของค่าดังกล่าวคือเป็นตัวประกอบ ที่ใช้ในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติมีค่าเป็นสตางค์ต่อหน่วยใช้สำหรับ ปรับค่าไฟฟ้าที่ขึ้นลง ในแต่ละเดือนโดยนำไปคูณ กับหน่วยการใช้ประจำเดือน ค่า Ft ดังกล่าวอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทั้งนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบได้จากใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้า ประจำเดือนนั้นๆ

ตัวอย่างวิธีการคิดค่าไฟฟ้า
สมมุติว่าเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2 ใช้ไฟฟ้าไป 990 หน่วย

35 หน่วยแรก 85.21 บาท
115 หน่วยต่อไป (115x1.1236 บาท) 129.21 บาท
250 หน่วยต่อไป (250x2.1329 บาท) 533.22 บาท
ส่วนที่เกิน กว่า 400 หน่วย (990-400 = 590 x 2.4226 บาท) 1,429.33 บาท
รวมเป็น เงิน 2,176.97 บาท


คำนวณค่า Ft โดยดูได้จากใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน หรือสอบถามจากการไฟฟ้านครหลวง

ตัวอย่าง ค่า Ft มิถุนายน 2541 หน่วยละ 5.45 สตางค์

990 หน่วย x 0.05045 บาท 499.46 บาท
รวมเงิน 2,176.97+499.46 = 2,676.43 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% = 2,676.43 x 7/ 100 = 187.35 บาท
รวมเป็นเงิน 2,863.78 บาท ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ 2,863.75 บาท


หมายเหตุ ในกรณีที่คำนวณค่าไฟฟ้าแล้วเศษสตางค์ที่คำนวณได้มีค่าต่ำกว่า 12.50 สตางค์ กฟน. จะทำการปัดเศษลง ให้เต็ม จำนวน ทุกๆ 25 สตางค์ และถ้าเศษสตางค์ มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 12.5 สตางค์ กฟน.จะปัดเศษขึ้นให้เต็มจำนวนทุก ๆ 25 สตางค์

สำหรับตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้าที่ให้มาข้างต้นนี้ท่านสามารถนำไปคำนวณการ ใช้ไฟฟ้าในบ้านของท่านได้ เพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพนั้น ท่านควรรู้จักเลือกเครื่องไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน และใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งจะช่วยให้ท่าน สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก

28 กุมภาพันธ์ 2553 วันมาฆบูชา



วันมาฆบูชาหมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน ๓ เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

ความสำคัญ
วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์

ผู้ได้อภิญญา ๖และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส



ประวัติความเป็นมา
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๙ เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน ๓ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๔ ประการ คือ
๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้ นัดหมาย
๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจาก พระพุทธเจ้า

เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าว จึงมีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า วันจาตุรงคสันนิบาต และในโอกาสนี้ พระพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา

ขอขอบคุณ : http://www.watkoh.com/data/ssn_phitee/makah.php

พระสังฆราชฯ ประทานพระโอวาท




เนื่องในวันมาฆบูชา ให้คนไทยทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายจะสงบ

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาทวันมาฆบูชา 2553 ความว่า วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ เมื่อ 2,598 ปีมาแล้ว จัดวันนั้นเป็นวันมาฆบูชา ด้วยสมเด็จพระบรมศาสดา ทรงประกาศหัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ ในท่ามกลางพระอรหันตขีณาสพ 1,250 รูป เพื่ออัญเชิญไปเป็นหลักในการประกาศพระพุทธศาสนาแก่โลก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง การทำบุญกุศลทุกประการ และการทำจิตของตนให้ผ่องแผ้วห่าง ไกลจากกิเลสทั้งปวง

หัวใจพระพุทธศาสนาก็เปรียบเช่น หัวใจเราท่านทั้งหลาย แม้ปล่อยหัวใจให้มีโรค ร่างกายก็จะเป็นทุกข์ทรมานจนถึงตายได้ หัวใจพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ไม่รักษาให้ดีด้วยการทำตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ก็ย่อมจะก่อให้เกิดความบอบช้ำแสน สาหัส ถึงจบชีวิตพระพุทธศาสนาได้ พร้อมกันนั้นชีวิตของเราท่านทั้งหลายก็จะสิ้นความสวัสดี แม้ไม่อยากให้ชีวิตต้องผ่านสภาพนั้น ก็จงเร่งคิดพูดทำให้ได้ดังหัวใจพระพุทธศาสนา เริ่มต้นให้จริงในวันมาฆบูชาวัน นี้เถิด มหามงคลก็จะเกิด ความเดือดร้อนวุ่นวายจะสงบลงได้ด้วยพระพุทธานุภาพ ขออำนวยพร.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=default

ความสุขที่ถูกมองข้าม (พระไพศาล วิสาโล)


ความสุขที่ถูกมองข้าม (พระไพศาล วิสาโล)

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า "ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง" เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ? คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับ

ของใหม่ที่ได้มา ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมายจากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

ขอขอบคุณ : คุณสิทธิพนธ์ ฤกษ์สิรินุกูล