สัญญาณเตือน...โรคร้าย


อย่ามองข้ามกันเชียวนะ บางทีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า โรคร้ายกำลังย่างสามขุมมาหาท่าน

โดยเฉพาะกลุ่มอาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดศีรษะ ไมเกรน ปวดหลัง และปวดไหล่ รวมถึงการเป็นไข้หวัดบ่อย ๆ และมีน้ำมูกเป็นอาจิณ

น.พ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ผู้อำนวยการประจำสำนัก เจ้าหน้าที่บริหารและแพทย์ที่ปรึกษาโครงการสุขภาพแบบองค์รวมเฉพาะบุคคลเครือ ร.พ.พญาไท ซึ่งได้เปิดศูนย์การแพทย์ สบายไลฟ์ ให้ผู้ป่วยสามารถมาใช้บริการได้ในราคาไม่แพง บอกว่า อาการปวดศีรษะส่วนมากเกิดขึ้นกับหนุ่มสาวออฟฟิศ อาจมีสาเหตุมาจากความเครียดในการทำงาน การใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์นานเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ มลภาวะแวดล้อม เป็นต้น

ซึ่งอาการปวดหัวเพียงเล็กน้อยอาจจะเป็นสาเหตุของการปวดหัวไมเกรน เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรง อาจอาเจียนร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณร้ายของเนื้องอกในสมองได้

ส่วนอาการปวดหลังและปวดไหล่อาจเกิดจากการนั่งผิดท่า และนั่งนานเกินไป เป็นต้น ซึ่งพบได้บ่อยในคนทำงานออฟฟิศ หรือที่เรียกว่าโรคในกลุ่มออฟฟิศซินโดรมนั้น หากไม่ได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ หรือไม่ถูกวิธีก็อาจนำไปสู่โรคร้ายตามมาได้เช่นกัน

สำหรับอาการไข้หวัดบ่อยและมีน้ำมูกเป็นอาจิณ ซึ่งเป็นอาการยอดฮิตในคนไทย โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน หากปล่อยให้อาการรุนแรงอาจเสี่ยงเป็นโรคปอดบวม ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เพราะเมื่อเราเป็นไข้หวัดไม่สบาย ร่างกายจะอ่อนแอ จะทำให้เชื้อฉวยโอกาสเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

"ซึ่งเมื่อเชื้อหลุดลงไปที่ปอด ทำให้ปอดติดเชื้อแล้ว จะทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ มีความเสี่ยงที่ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด"

อีกอาการยอดฮิตนั่นคือ เจ็บหน้าอก

น.พ.ทวนทศพร สุวรรณจูฑะ อายุรแพทย์โรคหัวใจหลอดเลือด กล่าวว่า อาการเจ็บหน้าอกเป็นอีกหนึ่งอาการยอดฮิตที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของคนทั่ว ๆ ไป คนส่วนใหญ่ทั่วไปมักจะคิดว่า อาการเจ็บหน้าอกโดยเฉพาะเจ็บหน้าอกด้านซ้ายเกิดจากโรคหัวใจเท่านั้น แต่เนื่องจากเป็นอาการที่สำคัญอย่างหนึ่งของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เลยเกิดความกังวลว่าจะมีอันตรายถึงชีวิตจากหัวใจวาย เกิดความท้อแท้ในชีวิต และไม่ยอมไปพบแพทย์ แต่จริงแล้ว ๆ อาการเจ็บหน้าอกที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของคนทั่ว ๆ ไปนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาการเจ็บในหลอดอาหาร หรืออาการเจ็บแสบยอดอกอาจมาจากโรคกรดไหลย้อน

นอกจากนี้อาการเจ็บหน้าอกอาจมาจากปอด เยื่อหุ้มปอด หรือในกล้ามเนื้อ และพังผืดผนังหน้าอก ดังนั้นหากมีอาการเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยไม่ควรวินิจฉัยด้วยตนเอง ควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าเกิดจากสาเหตุใด

ส่วนผู้ที่มีอาการปวดท้อง ท้องอืด กินอะไรก็อิ่มง่าย จุกเสียด ปัสสาวะบ่อย ๆ ก็อย่าได้วางใจ โดยเฉพาะในผู้หญิง

พ.ญ.ธิศรา วีรสมัย สูตินรีแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพหญิง กล่าวว่า อาการเหล่านี้อาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่ได้ โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก เบื่ออาหาร และอาจมีเลือดออกในช่องคลอด

"มะเร็งรังไข่มักจะวินิจฉัยได้ช้าเนื่องจากอยู่ภายในช่องท้อง และมักจะไม่มีอาการในระยะแรกของโรค แต่หากค้นพบแรกเริ่มจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากมีคนในครอบครัว มีประวัติการเป็นโรคมะเร็งรังไข่มาก่อนควรรีบตรวจคัดกรองโรคมะเร็งทุกปี"

สำหรับอาการหิวน้ำบ่อยและปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืนก็ไม่ควรมองข้าม

พ.ญ.อยุทธินี สิงหโกวินท์ แพทย์หัวหน้าศูนย์เบาหวานและ เมตาบอลิก กล่าวว่า มันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังเกิดจากการที่มีภาวะน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน ๆ ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา หัวใจ ไต เส้นประสาท เส้นเลือด นอกจากนี้ยังพบว่ามีโรคความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในโลหิตสูงร่วมด้วย

ฉะนั้นควรสังเกตสัญญาณเหล่านี้ให้ดี เพื่อสกัดกั้นโรคร้ายได้ ทันท่วงที

วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 11:34:59 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

อบซาวน่าและอาบน้ำร้อนสลับเย็น ลดความเครียด


อบซาวน่าและอาบน้ำร้อนสลับเย็น ลดความเครียด



หลังจากที่เผชิญกับการงานมาตลอดทั้งวัน ย่อมมีอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ปวดเมื่อยตามตัว หรือเกิดความเครียดขึ้นได้ มีวิธีการต่างๆหลายๆวิธีที่สามารถใช้ลดความเครียดอย่างได้ผลดี เช่น การออกกำลังกาย การดูหนังฟังเพลง การหางานอดิเรกทำ หรือแม้แต่วิธีที่หลายๆท่านอาจคิดไม่ถึงว่าสามารถช่วยลดความเครียดได้ ได้แก่ การอบซาวน่าและการอาบน้ำร้อนสลับเย็น

ปัจจุบันนี้การอบซาวน่า เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเห็นได้ว่า สถานที่ให้บริการการออกกำลังกาย หรือ สถานเสริมสุขภาพต่างๆ มักมีบริการห้องซาวน่าไว้ให้ใช้กัน และมีแม้กระทั่งห้องอบซาวน่าขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งที่บ้านได้ก็เริ่มมีผู้นิยมมาติดตั้งกันมากขึ้น เนื่องมาจากได้ทราบถึงประโยชน์ของการอบซาวน่านั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอยู่เพียงเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้จักการอบซาวน่าอย่างถูกวิธี โดยมักจะคิดแต่เพียงว่า เพียงได้เข้าไปห้องอบซาวน่า แล้วก็นั่งๆนอนๆรออยู่ในนั้น หลายๆคนอาจจะเข้าใจผิดไปด้วยซ้ำการอบซาวน่าจะได้ผลดีต้องอบเป็นระยะเวลานานๆ ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากการอบซาวน่าเป็นระยะเวลานานๆ หลอดเลือดที่ผิวจะขยายตัว เลือดจะมา กองอยู่บริเวณผิวหนังมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆในร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต มีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง จึงไม่เป็นการดีแน่ถ้าจะอบซาวน่าเป็นระยะเวลานานๆ

การอบซาวน่า เป็นวารีบำบัดวิธีหนึ่งของชาวฟินแลนด์ ซึ่งมีประวัติเก่าแก่ยาวนานมาเป็นพันปี โดยชาวฟินแลนด์มักจะนิยมตัดต้นสนที่อยู่ข้างทะเลสาบในฤดูหนาวมาก่อเป็นห้อง ซาวน่าแล้วเข้าไปอบไอน้ำและความร้อนกันในนั้น หลังจากนั้นก็จะเจาะพื้นน้ำแข็งในทะเลสาบและลงไปแช่น้ำเย็นเยือกแข็งต่อใน ทันทีที่ออกมาจากห้องอบซาวน่า ยังผลให้ชาวฟินแลนด์มีภูมิต้านทานร่างกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

การอบซาวน่าที่ถูกวิธีนั้น จึงต้องเลียนแบบชาวฟินแลนด์ให้ครบทุกส่วน โดยควรจะอยู่ในห้องอบซาวน่า ประมาณ 3 ไม่เกิน 5 นาที หลังจากออกจากห้องซาวน่าแล้วให้ลงแช่ในบ่อน้ำเย็นต่อในทันที (อุณหภูมิที่แนะนำควรจะต่ำกว่า 20 ?C) หรืออาจจะใช้วิธีอาบน้ำเย็นแทนในกรณีที่ไม่มีบ่อน้ำเย็นให้บริการ โดยแช่น้ำเย็นสัก 2 นาที แล้วกลับไปอบซาวน่าอีก 3 นาที สลับกับลงบ่อน้ำเย็นอีก 2 นาที ทำสลับกันไปเช่นนี้สัก 3 รอบ (คือ ให้เริ่มด้วยอบร้อนก่อน แล้วจบด้วยแช่น้ำเย็น ทำเช่นนี้ 3 รอบ)

การอบซาวน่า ซึ่งอาศัยความร้อนเป็นตัวทำให้เส้นเลือดบริเวณผิวหนังขยายตัว กล้ามเนื้อขยายตัว ช่วยคลายกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยคลายความเครียดได้ดี จากนั้นลงแช่น้ำเย็นต่อทันทีเพื่อให้เส้นเลือดที่ผิวหดตัว ไล่เอาเลือดที่ได้รับกระตุ้นด้วยความร้อนบริเวณผิวหนังเข้าไปสู่ภายในร่างกายไปสู่อวัยวะสำคัญ ได้แก่ สมอง หัวใจ ตับ ไต เพิ่มความสดชื่นแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า เสริมสร้างภูมิต้านของร่างกายและคลายความเครียดให้แก่จิตใจได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถนำเอาความรู้นี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีก ซึ่งได้ผลในการเสริมสุขภาพเช่นกัน โดยวิธีนี้จะสะดวกกว่าเนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้ห้องอบซาวน่า ซึ่งได้แก่ การอาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็นซึ่งเป็นวิธีการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดีวิธีหนึ่ง

การได้อาบน้ำอุ่นๆหรือแช่ในอ่างอาบน้ำอุ่นๆ ช่วยคลายเครียดได้เนื่องจากความร้อนที่ได้รับจากน้ำอุ่นทำให้หลอดเลือด บริเวณผิวและกล้ามเนื้อขยายตัว และมีเลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังและกล้ามเนื้อแขนขามากขึ้นเป็นผลให้กล้ามเนื้อ คลายตัว(หลักการเดียวกับการอบซาวน่า) ทำให้เรารู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ช่วยชำระร่างกายให้สะอาดจากเหงื่อไคลที่หมักหมม มาทั้งวันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายสบายใจ นอกจากนี้ผลของการอาบน้ำอุ่นๆ ยังทำให้สมองผ่อนคลาย และเกิดความรู้สึกง่วงนอนขึ้น จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะอาบน้ำอุ่นๆในเวลาเย็น หลังจากคร่ำเคร่งกับการงานมาตลอดทั้งวัน ช่วยให้หลับสบาย พร้อมที่จะตื่นไปลุยกับงานวันรุ่งขึ้นได้อย่างเต็มที่

สำหรับในตอนตื่นนอนตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายได้ตื่นตัวสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ขับไล่ความง่วงเหงาซึมเซา จากภาวะที่ต้องพรากจากที่นอนอันแสนสุขขึ้นมาทำหน้าที่การงานตามความรับผิด ชอบของตนเองนั้น จะเหมาะอย่าิงยิ่งกับการอาบน้ำเย็น ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหดตัว ไล่เลือดเข้าไปสู่สมอง หัวใจ ตับ ไต ให้ได้ตื่นตัวกันอย่างเต็มที่ โดยที่อาจจะอาบน้ำอุ่นๆซักระยะหนึ่งก่อนเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ง่ายขึ้น จากนั้นในระหว่างการอาบน้ำยังสามารถกระตุ้นระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองด้วยการ ถูผิวหนัง ซึ่งอาจจะใช้ผ้าขนหนูหนาๆผืนเล็ก หรือจะเป็นใยบวบก็ได้ถูผิวหนัง โดยให้ถูย้อนจากปลายแขนปลายขาเข้าหาลำตัว ซึ่งเป็นการกระุตุ้นระบบน้ำเหลืองและภูมิต้านทานร่างกายที่ดีอย่างหนึ่งแล้ว จึงตามด้วยการอาบน้ำเย็นๆเป็นการปิดท้ายเพื่อไล่เอาเลือดและ ภูมิต้านทานที่ได้รับการกระุตุ้นแล้วให้เข้าไปสู่ สมอง หัวใจ ตับ ไต ช่วยกระตุ้นการทำงานของอวัยวะเหล่านี้ให้ทำงานกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


การใช้อุณหภูมิของน้ำให้ถูกต้องก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์กับสุขภาพของร่าง กายได้เช่นกัน เพียงอาบน้ำร้อนก่อนนอน อาบน้ำเย็นตอนตื่นนอน ก็จะช่วยให้เผชิญหน้ากับความเครียดและเป็นการเสริมสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆด้วย ตนเองทุกวันอีกด้วย

ขอขอบพระคุณ นพ.คณิน ไตรพิพิธสิริวัฒน์ (พ.บ.)

8 สุดยอดอาหารต้านโรคหัวใจ

โรค หัวใจ เป็นอีกโรคหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องอาหารการกินค่อนข้างมาก ถ้าในแต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารจาก 8 กลุ่มต่อไปนี้ ก็จะเป็นการช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกทางหนึ่ง

1.ปลา ทะเล หรือปลาน้ำจืด ที่มีไขมัน (Oily Fish) เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาช่อน ปลาดุก จะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (EPA และDHA) อยู่มาก ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากการอุดตันของหลอดเลือด

2.ใช้ น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว ประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อย่างน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ก็จะช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL-C) ลง ได้ โดยที่ไม่ลดคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL-C)

3.ผัก ผลไม้หลากสี จะให้สารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL-C ที่จะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น จนเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบได้

4.ไฟ เบอร์ที่ได้จากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี รวมทั้งซีเรียลจากธัญพืชต่าง ๆ และขนมปังโฮลวีท จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง และป้องกันความเสี่ยงจากโรคหัวใจวายได้มากกว่าไฟเบอร์จากผักผลไม้

5.ถั่ว เมล็ดแห้ง เช่น ถั่วลิสง อัลมอนด์ วอลนัท นอกจากมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวค่อนข้างสูงที่ช่วยลด LDL-C แล้ว ยังมีกรดอะมิโนอาร์จินีนสูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของหลอดเลือด และช่วยลดความดันเลือด

6.วิตามิน อีจากอาหารธรรมชาติ จะทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีในรูปอาหารเสริม ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL-C จึง ช่วยลดความเสี่ยงของการอุดตันในผนังหลอดเลือดแดง อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ อโวคาโด ผักสีเขียวแก่ ธัญพืชไม่ขัดสี และน้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันรำข้าว มีวิตามินอีถึง 2 กลุ่ม คือ โทโคฟีรอลและโทโคไตรอีนอล

7.สมุนไพร และเครื่องเทศ เช่น กระเทียมสด จะมีสารอัลลิซิน ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และสารแคปไซซินในพริก จะช่วยชะลอการเกาะตัวของลิ่มเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

8.อาหาร ที่มี Plant Sterols หรือ Phytosterols สูง ได้แก่ ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ เช่น งา จมูกข้าว เมล็ดทานตะวัน ถั่วพิสตาชิโอ รวมทั้งน้ำมันพืชบางชนิดอย่างน้ำมันรำข้าว ปริมาณเพียง 1 ช้อนโต๊ะจะมี Phytosterols สูงถึง 250 มิลลิกรัม ซึ่ง Phytosterols จะช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็ก ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลรวมและ LDL-C ลดลง

ที่มา: นิตยสารลิซ่า

ฤาษีดัดตน แบบดิจิตอล





















สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก http://www.rusiedotton.thai.net/main_page.php

สุขภาพของชายวัยสูง และการรักษาด้วยฮอร์โมน


เพศชายในวัยสูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะพบว่าฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ผลิตจากลูกอัณฑะ เริ่มปริมาณลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะลูกอัณฑะเริ่มเสื่อมหน้าที่ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศชาย การเสื่อมหน้าที่จะค่อยเป็นค่อยไปตามอายุที่มากขึ้น นอกจากลูกอัณฑะจะสร้างฮอร์โมนเพศชายแล้วยังมีต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมนเพศ ชายที่เรียกว่า ดีไฮโดรอิพิแอนโตรสเตอโรน (Dehydroepiandrosterone) เรียกย่อ ๆ ว่า ดีเอช อี เอ (DHEA) ซึ่งจะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้นเช่นกัน

การที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงช้า ๆ อาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่องส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้:

1) อาการทางระบบประสาทและจิตใจ: มีอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย ขาดความคิดริเริ่ม ขาดความเชื่อมั่นตนเอง นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกมาก อาการหงุดหงิด โมโหง่าย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งปัญหาครอบครัว หน้าที่การงาน

2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด พบได้บ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะในชายที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ เป็นเบาหวานอยู่แล้ว อ้วน ขาดการออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง

3) ภาวะโรคกระดูกพรุน: จะรู้สึกว่าตนเองเตี้ยลง กระดูกหักบ่อย

4) ความผิดปกติทางการได้ยิน-สายตา: เช่น ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หูได้ยินไม่ดี

5) ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ: ปัสสาวะบ่อย ๆ ลำปัสสาวะเล็กลง ปัสสาวะเล็ดลาด ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น อาจมาจากสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก

6) หย่อนสมรรถภาพทางเพศ: พบว่าเกิดจากสาเหตุด้านร่างกายหรือด้านจิตใจ หรือทั้งร่างกายและจิตใจร่วมกัน รู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการสอบถามอาการต่าง ๆ ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดและการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่ละบุคคล

การรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน มีทั้งในรูปการรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง หรือฉีดยาเดือนละเข็ม หรือใช้ชนิดแปะผิวหนัง หรือทาผิวหนังก็ได้ การใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วนี้ ทำให้ชายสูงวัยหลายท่านร้องขอการรักษาโดยใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน ซึ่งมียาทั้งในรูปแบบยารับประทาน และยาฉีด รวมทั้งชนิดแปะที่ผิวหนัง ถึงแม้จะมีราคาแพงก็ตามแต่ดูว่ามีชายสูงอายุร้องขอให้แพทย์ทำการรักษาอยู่ บ่อยครั้ง

แพทย์ผู้ดูแลในเรื่องนี้จึงใคร่ขอเตือนว่า มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ นั้นอยู่ และข้อห้ามที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในชายสูงวัยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นมะเร็งต่อมลูกหมากให้ลุกลามไปได้เร็ว ขึ้น อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่าเข้าใจผิด ส่วนในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากจากต่อมลูกหมากที่โตมาก ๆ ถือเป็นข้อควรระวังเท่านั้น เพราะในบางรายอาจจะกระตุ้นให้คนไข้ปัสสาวะไม่ออกได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมแพทย์ที่ดูแลท่านทำการตรวจทางทวารหนักและในบางรายอาจจะตรวจเช็คระดับพี เอสเอ (Prostate Specific Antigen) ของท่านด้วยก่อนเริ่มให้การรักษา ระหว่างการรักษาแพทย์ก็จะทำการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย ความเข้มข้นของเลือด รวมทั้งพีเอสเอ เป็นระยะ ๆ เพื่อความปลอดภัย

ดัง นั้นท่านชายสูงวัยที่มีอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ควรจะได้รับการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย รวมทั้งเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถทำการตรวจเช็คได้ในโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไป ทั้งจากศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและแพทย์ทั่วไปได้ ขอให้ชายสูงวัยทุกท่านมีสุขภาพที่ดี ทำประโยชน์กับสังคมของเราได้นานเท่านาน

ที่ มา: บทความ น.พ. สุรพงศ์ อำพันวงษ์ โรงพยาบาลพญาไท

หนังสือแสดงเจตนาตาย! ความปรารถนาสุดท้ายของชีวิต…มีสิทธิหรือไม่?

เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้เข้ามา หากผู้ป่วยต้องการปฏิเสธการรักษา โดยแพทย์ยอมรับคำร้องขอและยุติการรักษา แพทย์ท่านนั้นผิดหรือไม่ และผู้ป่วยมีสิทธิปฏิเสธการรักษาของตนได้อย่างนั้นหรือ?

นพ.ชาตรี เจริญศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาไว้ อย่างน่าสนใจว่า กฎหมายประเทศไทยไม่ได้ห้ามการเสียชีวิตเหมือนกฎหมายประเทศอื่น ด้วยเหตุผลที่ว่าการตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปด้วยเรื่อง สุขภาพ และเป็นการบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น หนังสือบอกความปรารถนาในวาระสุดท้ายของชีวิต ถือว่าเป็นการปฏิเสธการรักษาซึ่งแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าในขณะที่ผู้ป่วยยังมี สติดีอยู่

สิทธิขอหยุดความ ทรมานจากเทคโนโลยี...เพื่อการตายดี

ตามพระราชบัญญัติสุขภาพ แห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตราที่ 12 ระบุว่า บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไป เพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ โดยกระบวนการยืดการตายที่ว่านี้ อาจเป็นการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือเครื่องมือบางอย่างเพียงเพื่อยืดการตายออกไปทั้งๆ ที่ผู้ป่วยได้ก้าวเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นกรณีเฉพาะที่แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและพิจารณาว่าการรักษานั้นๆ เป็นการรักษาเพียงเพื่อการยืดชีวิตหรือไม่

เดิมทีก่อนที่จะมีการออก พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติที่รับรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ป่วยก็มีสิทธิตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น ผู้ป่วยไม่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาล และได้แจ้งความประสงค์กับญาติว่า ถ้าตนไม่มีสติแล้วไม่ต้องพาไปโรงพยาบาล ขอเสียชีวิตโดยได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกหลานที่บ้าน หลังจากนั้นก็จากไปโดยไม่ได้มาพบแพทย์ ซึ่งกฎหมายก็ไม่ได้เอาผิดผู้ป่วยหรือญาติ กรณีนี้เรียกว่าเป็นสิทธิตามธรรมชาติของบุคคล แต่ถ้าจะทำเป็นหนังสือแสดงเจตนาชัดเจน กรุณาใช้สิทธินี้ตามมาตราที่ 12 และถ้าทำเป็นหนังสือแล้วแพทย์ปฏิบัติตาม จะมาฟ้องแพทย์ก็ไม่ได้


หากแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาแล้วต่อมามี แนวโน้มว่าอาจรักษาได้ จะมีปัญหาหรือไม่


อาจมีกรณีที่ผู้ป่วย ได้ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าในอดีตตอนยังมีสติดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเทคโนโลยีพัฒนาจนสามารถรักษาได้ การปฏิเสธการรักษาจึงต้องมีเงื่อนไขอื่นประกอบการพิจารณาด้วยว่า ในสถานการณ์นั้นเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตจริง หรือไม่ และก่อนจะกระทำการใดๆ แพทย์และพยาบาลควรที่จะปรึกษาผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งการปรึกษานี้ไม่ได้เกิดจากกฎหมาย แต่เป็นมาตรฐานวิชาชีพ และเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ด้วย ซึ่งการปฏิเสธการรักษาควรต้องพิจารณา 3 ปัจจัยหลักๆ ประกอบกันคือ

1. ต้องเคารพเจตนาของผู้ป่วย
2. แพทย์ใช้ดุลยพินิจตามมาตรฐานวิชาชีพ
3. ปรึกษาญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยในหนังสือแสดงเจตนาจะต้องระบุชื่อบุคคลดังกล่าวไว้ด้วย

เชื่อว่า ด้วยระบบความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่ดีมากของเมืองไทย ขอให้บอกกล่าวแพทย์ก็รับฟังความต้องการของผู้ป่วย แต่ในทางกลับกันหากเขียนหนังสือแสดงเจตนาไว้ แต่ไม่ได้แสดงหนังสือให้ใครทราบ หนังสือฉบับนั้นจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะถือว่าไม่ได้แสดงเจตนา

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับ คนไทย เพราะฉะนั้นก็ต้องอ้างอิงตามวัฒนธรรมไทย หากไปอิงกฎหมายต่างประเทศจะยุ่งยากมาก เพราะกฎหมายต่างประเทศ ความตายเป็นสิ่งที่กฎหมายต้องอนุญาตให้ตาย แต่กฎหมายไทยความตายเป็นไปด้วยเหตุปัจจัยอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางสุขภาพ และเราก็เชื่อว่าการตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งมีปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิของผู้ป่วยโดยแพทย์สมาคมโลกได้ให้การรับรอง ไว้ในระดับนานาชาติแล้วว่า สิทธิเกี่ยวกับร่างกายตัวเองสามารถตัดสินใจได้

ปัจจุบันหากผู้ป่วยไม่ได้ระบุเจตนาไว้ล่วงหน้า ต่อมาญาติได้แจ้งขอปฎิเสธการรักษา และขอนำตัวผู้ป่วยกลับบ้าน อาจด้วยเหตุผลด้านการรักษาหรือค่าใช้จ่าย ญาติก็มีสิทธิทำได้อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน แพทย์เห็นว่าคนไข้ยังอยู่ในอาการที่ไม่สามารให้กลับบ้านได้ แพทย์ก็มีสิทธิที่ปฏิเสธคำขอได้เช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันระหว่างมาตรฐานวิชาชีพกับความ ต้องการของญาติ แต่กรณีเช่นนี้จะกระจ่างชัดมากขึ้นถ้าทำหนังสือไว้ล่วงหน้า ว่าแค่ไหนที่จะไม่ทำการรักษาต่อไป

ทำอย่างไร หากญาติทำใจไม่ได้ แต่ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้แล้ว

กรณีนี้สิ่งที่ต้องย้อนกลับไปคำนึงถึงคือ เจตนาของผู้ป่วยเป็นสำคัญ สำหรับผู้ที่มีความหมายต่อตัวผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิตกรุณาอย่าได้ รู้สึกผิดกับการดำเนินไปตามเจตนานั้น เพราะนี่คือสิทธิของการบอกเจตนาปฏิเสธการรักษาที่แท้จริง

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

แนะนำวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด

การแปรงฟัน
1. ควรใช้แก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
2. ถ้าเปิดก๊อกน้ำ ทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน จำทำให้เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ไป 9 ลิตร ต่อ 1 นาที หรือ 45 ลิตรตลอดการแปรงฟัน

การโกนหนวด
1. เมื่อโกนหนวดแล้ว ควรใช้กระดษชำระเช็ดออกก่อน เพื่อให้ล้างออกง่ ายขึ้น
2. จากนั้นควรใช้แก้วหรือขันและจุ่มล้างใบมีดในแก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร<>ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวด 2 นาที จะเสียน้ำประมาณ 18 ลิตร

การอาบน้ำ
1. การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด
2. รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำ
3. อาบน้ำด้วยฝักบัวแต่ละครั้ง ใช้น้ำประมาณ 20-30 ลิตร
4. ถ้าเปิดก็อกน้ำทิ้งไว้ขณะถูสบู่ 10 นาทีจะเสียน้ำประมาณ 90 ลิตร
5. ถ้าอาบน้ำในอ่าง จะใช้น้ำประมาณ 110 ลิตร

การใช้ห้องสุขา
1. โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า
2. ถ้าใช้โถแบบชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะแยกต่างหากไว้ด้วย

การซักผ้า
1. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนจะทำการซัก จะทำให้สิ่งสกปรกออกง่ายขึ้น
2. การซักล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร
3. ถ้าเปิดน้ำให้ไหลล้นตลอดเวลา จะเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที หรือ 180 ลิตร หากใช้เวลาซัก 20 นาที
4. ถ้าซักด้วยเครื่องครั้งหนึ่ง จะใช้น้ำประมาณ 150-250 ลิตร
5. น้ำสุดท้ายของการซักสามารถนำไปเช็ดถูบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้ใหญ่ได้

การล้างจาน
1. ควรใช้กระดาษชำระเช็ดคราบสกปรกออกก่อน จะช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
2. ควรล้างจานพร้อมกันในอ่างหรือภาชนะ เพื่อประหยัดเวลา และให้ความสะอาดมากกว่า
3. การล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำตลอดเวลา 15 นาที จะเสียน้ำ ประมาณ 135 ลิตร

การล้างอาหาร ผัก ผลไม้
1. ควรล้างโดยใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็นจะประหยัดว่า
2. หากล้างจากก๊อกโดยตรง ก็ควรมีภาชนะที่เคลื่อนย้ายรองรับน้ำไว้รดน้ำต้นไม้ได

การถูพื้น
1. ควรใช้ภาชนะรองน้ำ เพื่อใช้กับอุปกรณ์หรือผ้าที่จะนำไปเช็ดถู
2. การใช้น้ำฉีดล้างโดยตรง จะสิ้นเปลืองน้ำเป็นจำนวนมาก

การรดน้ำต้นไม้
1. ควรใช้กระป๋องหรือฝักบัว เพราะต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องการน้ำพอดี ๆ เท่านั้น
2. ไม่ควรใช้สายยางโดยตรง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำเกินความจำเป็น
3. ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้า หรือเย็น
การล้างรถ
1. ควรใช้ไม้ขนไก่ลูบปัดฝุ่นออกก่อน
2. ควรล้างโดยนำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง
3. ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรง เพราะจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 180 ลิตร และยังทำให้รถผุเร็วด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ควรรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้าให้น้อยลง หรือเปลี่ยนรูปแบบของสนามใหม่ ให้เป็นแบบไม่ใช้น้ำ เช่น ใช้ไม้และหินแต่งสนามแทนการปลูกหญ้า
1. ขุดบ่อน้ำ หากบ้านใดมีพื้นที่กว้าง ให้ขุดบ่อใกล้บริเวณที่คิดว่าจะ มีน้ำซึมจากดินขึ้นมาไว้ใช้รดต้นไม้
1. จัดเตรียมหาภาชนะไว้เก็บกักตุนน้ำ สำรองไว้ใช้ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันกรณีเกิดวิกฤตน้ำไม่ไหล
1. นำน้ำที่ใช้แล้ว เช่น น้ำสุดท้ายในการซักผ้า กลับมาใช้ในการถูบ้าน ล้างห้องน้ำ
1. สำรวจท่อรั่วภายในบ้าน ตรวจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ดี ไม่มีการรั่วไหล ป้องกันการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน ์
1. หมั่นตรวจสอบชักโครก ในบ้านของท่าน เนื่องจากเป็นสุขภัณฑ์ที่มีสถิติน้ำรั่วไหลมาก

ปริมาณ น้ำที่สิ้นเปลืองเพราะรั่วไหล (1 ถัง = 200 ลิตร)

* หยด อย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ สูญเสียประมาณ 7 ถังต่อเดือน
* หยดเร็ว ๆ สูญเสียประมาณ 11 ถังต่อเดือน
* หยดเป็นสาย สูญเสียประมาณ 38-51 ถังต่อเดือน
* หยด เป็นสายมากขึ้น สูญเสียประมาณ 87 ถังต่อเดือน

การตรวจสอบท่อรั่วภายใน
1. ปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน
2. ดูตัวเลขในมาตรวัดน้ำ
3. ฟังเสียงและสังเกตดูการเคลื่อนไหวของตัวเลข
4. ถ้าหากไม่มีท่อแตกรั่ว มาตรก็จะไม่มีเสี ยงเครื่องจะไม่เดินและตัวเลขก็จะอยู่คงที่ไม่เคลื่อนไหว

การ ตรวจสอบท่อรั่วภายนอก
1. พื้นดินในบริเวณที่มีท่อแตกรั่วจะทรุดต่ำกว่าที่อื่นและพื้นดินจะเปียกแฉะ ตลอดเวลา
2. น้ำจะไหลอ่อนลงกว่าปกติ

ถ้าหาก พบจุดแตกรั่ว
ให้ปิดประตูน้ำที่หน้ามาตรแล้วจัดซ่อมจุดแตกรั่วนั้นโดยด่วนเพราะจุดรั่ว ขนาด 0.8 ม.ม. ทำให้สูญเสียน้ำ 900 ลิตรต่อ 1 วัน จุดรั่วขนาด 3.2 ม.ม. อาจทำให้สูญเสียน้ำได้วันละมากกว่า 10,000 ลิตร