แนะนำวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด

การแปรงฟัน
1. ควรใช้แก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
2. ถ้าเปิดก๊อกน้ำ ทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน จำทำให้เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ไป 9 ลิตร ต่อ 1 นาที หรือ 45 ลิตรตลอดการแปรงฟัน

การโกนหนวด
1. เมื่อโกนหนวดแล้ว ควรใช้กระดษชำระเช็ดออกก่อน เพื่อให้ล้างออกง่ ายขึ้น
2. จากนั้นควรใช้แก้วหรือขันและจุ่มล้างใบมีดในแก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร<>ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวด 2 นาที จะเสียน้ำประมาณ 18 ลิตร

การอาบน้ำ
1. การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด
2. รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำ
3. อาบน้ำด้วยฝักบัวแต่ละครั้ง ใช้น้ำประมาณ 20-30 ลิตร
4. ถ้าเปิดก็อกน้ำทิ้งไว้ขณะถูสบู่ 10 นาทีจะเสียน้ำประมาณ 90 ลิตร
5. ถ้าอาบน้ำในอ่าง จะใช้น้ำประมาณ 110 ลิตร

การใช้ห้องสุขา
1. โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า
2. ถ้าใช้โถแบบชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะแยกต่างหากไว้ด้วย

การซักผ้า
1. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนจะทำการซัก จะทำให้สิ่งสกปรกออกง่ายขึ้น
2. การซักล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร
3. ถ้าเปิดน้ำให้ไหลล้นตลอดเวลา จะเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที หรือ 180 ลิตร หากใช้เวลาซัก 20 นาที
4. ถ้าซักด้วยเครื่องครั้งหนึ่ง จะใช้น้ำประมาณ 150-250 ลิตร
5. น้ำสุดท้ายของการซักสามารถนำไปเช็ดถูบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้ใหญ่ได้

การล้างจาน
1. ควรใช้กระดาษชำระเช็ดคราบสกปรกออกก่อน จะช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
2. ควรล้างจานพร้อมกันในอ่างหรือภาชนะ เพื่อประหยัดเวลา และให้ความสะอาดมากกว่า
3. การล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำตลอดเวลา 15 นาที จะเสียน้ำ ประมาณ 135 ลิตร

การล้างอาหาร ผัก ผลไม้
1. ควรล้างโดยใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็นจะประหยัดว่า
2. หากล้างจากก๊อกโดยตรง ก็ควรมีภาชนะที่เคลื่อนย้ายรองรับน้ำไว้รดน้ำต้นไม้ได

การถูพื้น
1. ควรใช้ภาชนะรองน้ำ เพื่อใช้กับอุปกรณ์หรือผ้าที่จะนำไปเช็ดถู
2. การใช้น้ำฉีดล้างโดยตรง จะสิ้นเปลืองน้ำเป็นจำนวนมาก

การรดน้ำต้นไม้
1. ควรใช้กระป๋องหรือฝักบัว เพราะต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องการน้ำพอดี ๆ เท่านั้น
2. ไม่ควรใช้สายยางโดยตรง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำเกินความจำเป็น
3. ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้า หรือเย็น
การล้างรถ
1. ควรใช้ไม้ขนไก่ลูบปัดฝุ่นออกก่อน
2. ควรล้างโดยนำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง
3. ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรง เพราะจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 180 ลิตร และยังทำให้รถผุเร็วด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ควรรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้าให้น้อยลง หรือเปลี่ยนรูปแบบของสนามใหม่ ให้เป็นแบบไม่ใช้น้ำ เช่น ใช้ไม้และหินแต่งสนามแทนการปลูกหญ้า
1. ขุดบ่อน้ำ หากบ้านใดมีพื้นที่กว้าง ให้ขุดบ่อใกล้บริเวณที่คิดว่าจะ มีน้ำซึมจากดินขึ้นมาไว้ใช้รดต้นไม้
1. จัดเตรียมหาภาชนะไว้เก็บกักตุนน้ำ สำรองไว้ใช้ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันกรณีเกิดวิกฤตน้ำไม่ไหล
1. นำน้ำที่ใช้แล้ว เช่น น้ำสุดท้ายในการซักผ้า กลับมาใช้ในการถูบ้าน ล้างห้องน้ำ
1. สำรวจท่อรั่วภายในบ้าน ตรวจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ดี ไม่มีการรั่วไหล ป้องกันการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน ์
1. หมั่นตรวจสอบชักโครก ในบ้านของท่าน เนื่องจากเป็นสุขภัณฑ์ที่มีสถิติน้ำรั่วไหลมาก

ปริมาณ น้ำที่สิ้นเปลืองเพราะรั่วไหล (1 ถัง = 200 ลิตร)

* หยด อย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ สูญเสียประมาณ 7 ถังต่อเดือน
* หยดเร็ว ๆ สูญเสียประมาณ 11 ถังต่อเดือน
* หยดเป็นสาย สูญเสียประมาณ 38-51 ถังต่อเดือน
* หยด เป็นสายมากขึ้น สูญเสียประมาณ 87 ถังต่อเดือน

การตรวจสอบท่อรั่วภายใน
1. ปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน
2. ดูตัวเลขในมาตรวัดน้ำ
3. ฟังเสียงและสังเกตดูการเคลื่อนไหวของตัวเลข
4. ถ้าหากไม่มีท่อแตกรั่ว มาตรก็จะไม่มีเสี ยงเครื่องจะไม่เดินและตัวเลขก็จะอยู่คงที่ไม่เคลื่อนไหว

การ ตรวจสอบท่อรั่วภายนอก
1. พื้นดินในบริเวณที่มีท่อแตกรั่วจะทรุดต่ำกว่าที่อื่นและพื้นดินจะเปียกแฉะ ตลอดเวลา
2. น้ำจะไหลอ่อนลงกว่าปกติ

ถ้าหาก พบจุดแตกรั่ว
ให้ปิดประตูน้ำที่หน้ามาตรแล้วจัดซ่อมจุดแตกรั่วนั้นโดยด่วนเพราะจุดรั่ว ขนาด 0.8 ม.ม. ทำให้สูญเสียน้ำ 900 ลิตรต่อ 1 วัน จุดรั่วขนาด 3.2 ม.ม. อาจทำให้สูญเสียน้ำได้วันละมากกว่า 10,000 ลิตร

เข้าฤดูร้อนแล้วลองมาคิดค่าไฟฟ้าด้วยตนเอง

จากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบัน ส่งผลทำให้หลายบ้านต้องสำรวจและควบคุมค่าใช้จ่าย ในการครองชีพของตัวเองไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ ตลอดจนค่าใช้จ่าย ในด้านสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าน้ำมันรถ เพื่อให้เพียงพอกับเงินรายได้ที่ตนได้รับ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ค่าไฟฟ้านั้น เรามีวิธีตรวจสอบค่าใช้จ่ายว่า เราใช้ไฟฟ้าไปกี่หน่วย จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนเงินเท่าไร อีกทั้งยังสามารถหาแนวทางการประหยัดไฟฟ้าได้อีกด้วย

ก่อนที่เราจะทราบอัตราค่าไฟฟ้านั้น เราควรจะทราบว่า เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ใช้ไฟฟ้าหรือกินไฟเท่าไหร่เสียก่อน โดยสังเกตคู่มือการใช้งาน หรือแถบป้ายที่ติดอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เขียนว่า กำลังไฟฟ้า มีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt) ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามีจำนวนวัตต์มาก ก็กินไฟมากตามไปด้วย ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณดูจากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ในบ้านท่านว่ามีเครื่องใช้ไฟฟ้ากี่ชนิดแต่ละชนิดกินไฟกี่วัตต์ และเปิดใช้งานประมาณเดือนละกี่ชั่วโมง หลังจากนั้น ท่านก็นำมาคิดคำนวณ ท่านจะทราบว่าในแแต่ละเดือนท่านใช้ไฟฟ้าไปประมาณกี่หน่วยเพื่อเป็นแนวทางใน การประหยัดค่าไฟฟ้าได้
สำหรับการใช้ไฟฟ้า 1 หน่วยหรือ 1 ยูนิตคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาด 1,000 วัตต์ที่ใช้งานใน 1 ชั่วโมง หรือใช้สูตรการคำนวณดังนี้

กำลังไฟฟ้า (วัตต์)ชนิดนั้นๆ x จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า / 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้งานใน 1 วัน = จำนวนหน่วยหรือยูนิต

ตัวอย่าง บ้านอยู่อาศัยทั่วไป สมมุติว่าบ้านของท่านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 6 อย่างดังต่อไปนี้ สังเกตจำนวนวัตต์เพื่อมาคำนวณ การใช้ได้จากป้ายที่ติดหรือคู่มือของเครื่องใช้ไฟฟ้า

1. มีหลอดไฟฟ้าขนาด 40 วัตต์ (รวมบัลลาสต์อีก 10 วัตต์ เป็น 50 วัตต์) จำนวน 10 ดวง เปิดใช้ประมาณวันละ 6 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 50x10 / 1,000x6 = 3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x3)=90 หน่วย

2. หม้อหุงข้าว ขนาด 600 วัตต์ จำนวน 1 ใบ เปิดใช้ประมาณวันละ 30 นาที จะใช้ไฟฟ้าวันละ 600x1/1000x0.5=0.3 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.3)=9 หน่วย

3. ตู้เย็น ขนาด 125 วัตต์ จำนวน 1 ตู้ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงาน 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 125x1/1000x8= 1 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x1)= 30 หน่วย

4. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 2,000 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 12 ชั่วโมง สมมุติคอมเพรสเซอร์ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 2,000x1/1000x8= 16 หน่วย หรือประมาณดือนละ (30x16)= 480 หน่วย

5. เครื่องปรับอากาศ ขนาด 1,300 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 8 ชั่วโมง สมมุติคอมเรสเซอร์ทำงานวันละ 5 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 1,300x1/ 1,000x5= 6.5 หน่วย หรือประมาณวันละ (30x6.5) = 195 หน่วย

6. เตารีดไฟฟ้า ขนาด 800 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดวันละ 1 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 800x1/1000x1 = 0.8 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.8)= 24 หน่วย

7. ทีวีสีขนาด 100 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 3 ชั่วโมง จะใช้ไฟฟ้าวันละ 100x1 / x3 = 0.3 หรือประมาณเดือนละ (30x0.3) = 9 หน่วย

8. เครื่องทำน้ำอุ่น ขนาด 4,500 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 1 ชั่วโมงจะใช้ไฟฟ้าวันละ 4,500x1 / 1000x1=4.5 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x4.5) = 135 หน่วย

9. เตาไมโครเวฟ ขนาด 1,200 วัตต์ จำนวน 1 เครื่อง เปิดใช้งานวันละ 30 นาที จะใช้งานวันละ 1,200x1 / 1000x0.5 = 0.6 หน่วย หรือประมาณเดือนละ (30x0.6) = 18 หน่วย

ดังนั้นในแต่ละเดือนบ้านของท่านใช้ไฟฟ้าไปทั้งหมดประมาณ 990 หน่วย จากนั้นท่านก็สามารถคำนวณค่าไฟฟ้าของท่านได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าดังนี้


อัตราค่าไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ซึ่งมีผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมากแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
1.1 ประเภทมีการใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือนมีอัตรา ดังต่อไปนี้ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ค่าไฟฟ้าต่ำสุด คือ ไม่มีการใช้ไฟฟ้า 4.67 บาท
5 หน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) แรก (หน่วยที่ 1-5) เป็นเงิน 4.96 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 6-15) หน่วยละ 0.7124 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 16-25) หน่วยละ 0.8993 บาท
10 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 26-35) หน่วยละ 1.1516 บาท
65 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-100) หน่วยละ 1.5348 บาท
50 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 101-150) หน่วยละ 1.6282 บาท
250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.1329 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่ 401เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.4226 บาท

1.2 ประเภทปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือนมีอัตราดังต่อไปนี้(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ค่าไฟฟ้าต่ำสุด คือ ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เดือนละ 83.18 บาท
35 หน่วย(กิโลวัตต์ชั่วโมง) (หน่วยที่ 1-35) เป็นเงิน 85.21 บาท
115 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 36-150) หน่วยละ 1.1236 บาท
250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) หน่วยละ 2.1329 บาท
เกินกว่า 400 หน่วย (หน่วยที่401เป็นต้นไป) หน่วยละ 2.4226 บาท


ปัจจุบัน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ยังไม่มีการปรับโครงสร้างค่ากระแสไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าที่ใช้ในปัจจุบันได้เริ่มใช้มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตามการคิดค่าไฟฟ้านั้น มีปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะต้องมาคำนวณด้วย นั้นก็คือค่าการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือที่เราเรียกว่าค่า Ft (Energy Adjustment charge) หลายท่านคงสงสัยว่าค่า Ft คืออะไร ความหมายของค่าดังกล่าวคือเป็นตัวประกอบ ที่ใช้ในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติมีค่าเป็นสตางค์ต่อหน่วยใช้สำหรับ ปรับค่าไฟฟ้าที่ขึ้นลง ในแต่ละเดือนโดยนำไปคูณ กับหน่วยการใช้ประจำเดือน ค่า Ft ดังกล่าวอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทั้งนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบได้จากใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีค่าไฟฟ้า ประจำเดือนนั้นๆ

ตัวอย่างวิธีการคิดค่าไฟฟ้า
สมมุติว่าเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.2 ใช้ไฟฟ้าไป 990 หน่วย

35 หน่วยแรก 85.21 บาท
115 หน่วยต่อไป (115x1.1236 บาท) 129.21 บาท
250 หน่วยต่อไป (250x2.1329 บาท) 533.22 บาท
ส่วนที่เกิน กว่า 400 หน่วย (990-400 = 590 x 2.4226 บาท) 1,429.33 บาท
รวมเป็น เงิน 2,176.97 บาท


คำนวณค่า Ft โดยดูได้จากใบแจ้งหนี้/ใบเสร็จรับเงิน หรือสอบถามจากการไฟฟ้านครหลวง

ตัวอย่าง ค่า Ft มิถุนายน 2541 หน่วยละ 5.45 สตางค์

990 หน่วย x 0.05045 บาท 499.46 บาท
รวมเงิน 2,176.97+499.46 = 2,676.43 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 10% = 2,676.43 x 7/ 100 = 187.35 บาท
รวมเป็นเงิน 2,863.78 บาท ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บ 2,863.75 บาท


หมายเหตุ ในกรณีที่คำนวณค่าไฟฟ้าแล้วเศษสตางค์ที่คำนวณได้มีค่าต่ำกว่า 12.50 สตางค์ กฟน. จะทำการปัดเศษลง ให้เต็ม จำนวน ทุกๆ 25 สตางค์ และถ้าเศษสตางค์ มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 12.5 สตางค์ กฟน.จะปัดเศษขึ้นให้เต็มจำนวนทุก ๆ 25 สตางค์

สำหรับตัวอย่างการคิดค่าไฟฟ้าที่ให้มาข้างต้นนี้ท่านสามารถนำไปคำนวณการ ใช้ไฟฟ้าในบ้านของท่านได้ เพื่อเป็นแนวทางในการประหยัดค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพนั้น ท่านควรรู้จักเลือกเครื่องไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน และใช้เท่าที่จำเป็นซึ่งจะช่วยให้ท่าน สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก